วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2563

โควิด ...สะกิดอะไรเรา ?



           การระบาดของโควิด-19ดูเหมือนว่าจะฉุดไม่อยู่แล้ว  เพราะนับถึงวันนี้มีผู้ติดเชื้อทั่วโลกถึง  3.5 ล้านคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน สหรัฐอเมริกา สเปน อิตาลี อังกฤษ ฝรั่งเศส  เป็น 5 ประเทศแรกที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุด   โดยมีผู้เสียชีวิตถึง ประมาณ 2.5 แสนคน  และยังมีทีท่าว่าจะคงยังระบาดต่อไปเรื่อยๆในหลายประเทศโดยเฉพาะในยุโรป  สหรัฐ และรัสเซีย  ในขณะที่ประเทศไทยและเอเชียดูเหมือนว่าจะเอาอยู่ซึ่งก็เป็นภาพเบื้องหน้า ณ  ปัจจุบันเท่านั้น  เพราะว่ามีมาตราการที่ยอมเจ็บที่ฝรั่งเรียกว่า HAMMER คือเอาฆ้อนทุบ  โดยการปิดเมือง ปิดปรเทศ  หยุดการเคลื่อนที่ของประชากร ที่นับว่าเป็นเหตุปัจจัยสำคัญที่ทำให้โรคนี้หยุดระบาดได้จนกว่าจะมียารักษา หรือ  วัคซีนป้องกัน   ที่น่าสนใจคือ “เวียดนาม” ที่มีผู้ติดเชื้อเพียง 271 คน  และไม่มีผู้เสียชีวิตเลยเหตุผลสำคัญที่ทำให้เวียดนามคุมโควิดได้ คือ 

1.การห้ามเที่ยวบินจากจีนเข้าประเทศ ตั้งแต่ต้นเดือน กพ.2563 เพราะในช่วง 11-13 กุมภาพันธ์ 2563 ผมได้เดินทางไปเวียดนาม ปรากฏว่าทุกแห่งตระหนักรู้และป้องกันกันอย่างเข้มแข็ง  ทางเข้าโรงแรมมีการตรวจวัดอุณหภูมิ และตอนเช็คอินมีการสอบถามว่าในรอบสองสัปดาห์เดินทางไปจีนมาหรือไม่  และประชากรสวมหน้ากากเพราะคนเวียดนามส่วนใหญ่ขี่รถมอเตอร์ไซค์และใส่หน้ากาผ้าจนคุ้นเคยอยู่แล้ว  ซึ่งในขณะนั้นที่อู่ฮั่นนั้นระบาดไปไกลแล้วนับว่าเป็นความกล้าหาญที่ยอมเสียรายได้ไปมหาศาล

2.การปิดเมือง หรือ ชุมชนอย่างรวดเร็ว  พร้อมด้วยการรณรงค์ว่า  โควิดคือศัตรู....ซึ่งเวียดนามเองคนสูงวัยจะผ่านช่วงสงครามเวียดนามและเข้าใจคำว่าศัตรูเป็นอย่างดี  หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือการมีนิสัยชาตินิยมนั่นเอง  ซึ่งคนกีฬาทราบดีว่าเวลาเชียร์กีฬาโดยเฉพาะฟุตบอลกองเชียร์ชาวเวียดนามได้แสดงให้ประจักษ์ถึง “ชาตินิยม”  ที่นำมาใช้ในทางที่ถูกที่ควร

3.การกล้าตัดสินใจของผู้บริหารอย่างมีข้อมูลสนับสนุนและมาทันหรือก่อนเวลา  ไม่ได้กล้าตัดสินใจอย่างบ้าบิ่น หรือฟังแต่คณะรัฐมนตรีที่มีความรู้ทางสาธารณสุข และ ระบาดวิทยาเพียงน้อยนิด  รวมทั้งรัฐบาลเวียดนามที่กล้าปิดเมือง ปฏิเสธนักท่องเที่ยวจีนก่อนไทยถึงเกือบสองเดือน  ทั้งๆที่นักท่องเที่ยวจีนเป็นลูกค้าหลักของเวีดยนามเหมือนประเทศไทย   แต่ในช่วงนั้นรัฐบาลไม่กล้าตัดสินใจจนปล่อยให้โควิดระบาดไปมากขึ้น  แม้จะมีเสียงเรียกร้องจากหมอ นักระบาดวิทยา คณบดีแพทย์ ผู้เชียวชาญสาธารณสุขเสนอให้ปิดสนามบิน ฯลฯ   ซึ่งผู้ติดเชื้อ 20 คนแรกเป็นคนจึนถึง 18 คน มีคนไทยเพียงสองคนซึ่งก็เป็นผู้เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ  และการระบาดในประเทศไทยมาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติหรือคนไทยที่กลับจากต่างประเทศเป็นสำคัญ  จน 19 มีนาคม 2563 ได้เชิญคณบดีคณะแพทยศาสตร์จากหลายมหาวิทยาลัย เพื่อร่วมนำเสนอผลการศึกษา และข้อเสนอเชิงนโยบายสำหรับการรับมือเชื้อ COVID 19 ณ ทำเนียบรัฐบาล  จากเดิมที่ปล่อยให้รัฐมนตรีบริหารอย่างขาดความรู้ทางสาธารณสุข  และไม่ฟังผู้รู้ทั้งหลายนั่นเองเลยทำให้จาก ต้นมกราคมถึง 18 มีนาคม  เราเสียโอกาสไปถึงเกือบสองเดือนจนโรคระบาดไปไกลกว่าที่คาดคิดไว้มาก  ดีว่าหลังจากที่ได้ฟังความคิดเห็นพร้อมข้อเสนอแนะแล้วรัฐบาลทำตาม  โดย HAMMER มีมาตราการ “เจ็บ”  แต่จะทำให้ “จบ” ได้  ซึ่งตอนนี้ก็อยู่ระหว่าง ผ่อนคลายที่ฝรั่งมังค่าเรียกว่า DANCE  ก็ไม่รู้ว่าจะต้องสลับกันกันไปมาระหว่าง HAMMER  กับ DANCE   หรือ จะลากยาวไปจนสามารถ PARTY  คือกลับสู่ภาวะปกติในที่สุด

แต่งานนี้ต้องบอกว่า “ยาว” กว่าที่ทุกคนคิดแน่ๆเพราะมันไม่ใช่แค่ “ไข้หวัดธรรมดา ไม่ร้ายแรง “ แบบที่ รมต.สาธารณสุขไทยกล่าไว้เมื่อ 30 มกราคม 2563 ว่า  การระบาดของโรคนี้ ในสภาพอากาศร้อนทำให้โรคไปต่อยาก  หากไวรัสมีอาการรุนแรงมากคนติดเชื้อไปไหนไม่ได้ ต้องควบคุมพื้นที่ การระบาดก็จะน้อยลง  สุดท้ายเมื่อภูมิต้านทานเกิดขึ้นมา ก็กลายเป็นหวัดธรรมดาในที่สุดนายอนุทิน กล่าว   (เครดิต : เว็บไซท์ สำนักข่าวไทย 30 มกราคม 2563)

แล้วโควิด....สะกิดอะไรเราบ้าง ?? 

            *** เศรษฐกิจพอเพียง*** ...    ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ได้พร่ำสอนซึ่งก็มีแต่คนกล่าวชื่นชมในพระปรีชาสามารถ  รับไว้เหนือเกล้าแต่จะมีกี่คนกันที่ได้นำไปประพฤติปฎิบัติ  แม้แต่รัฐบาลเองหากมองการใช้จ่ายในภาครัฐของกระทรวงทบวงกรมต่างๆก็จะพบว่า  เรามีค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นอยู่ในงบรายจ่ายของรัฐบาลที่มากถึง  3.2 ล้านล้านบาท  คนที่ไม่ได้รับผลกระทบเลยในประเทศไทยมีอยู่ส่วนหนึ่ง  คือคนที่อยู่ในชนบทที่นำปรัชญาพอเพียงมาใช้เป็นแนวทางปฏิบัตินั่นเอง  ซึ่งเราคงหาดูได้จากคลิปและรายการหลายรายการที่ได้นำมาถ่ายทอด  ในทางกลับกันคนที่อยู่ในเมืองกรุงเสียอีกทุกคนได้รับผลกรกะทบมากน้อยต่างกันตามวัตรปฏิบัติ  หลายคนก่อสร้างหนี้สินไว้โดยลืมเผื่อว่าถ้ารายได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมายจะแก้ไขอย่างไร  เช่น เราจะเห็นว่านักบินต้องขี่บิ๊กไบค์ส่งอาหารเพราะรายได้ประจำขาดหายไป  แต่มีภาระที่ต้องส่งทั้งค่าบ้านค่ารถและอื่นๆ  แต่ก็ยังนับได้ว่า “น่าชื่นชม”  ที่ไม่ยอมแพ้และสู้หาทางแก้ไขโดยไม่อายว่าข้าฯเป็นนักบินมีรายได้หลายแสนต่อเดือน ต้องมารับจ้างส่งอาหารซึ่งทำให้วิถีชิวิตต้องเปลี่ยนไปอย่างมาก  เราเห็นนักดนตรีตัวพ่อออกมาขายหมูปิ้ง   ฯลฯ 

นักวางแผนการเงินส่วนบุคคล หรือ CFO  เคยพร่ำสอนไว้ว่า  ต้องรักษากระแสเงินสดไว้ในวันที่ลำบาก 3 เดือน  6 เดือน หรือ ให้มากที่สุด  คำถาม....”วันนี้คุณมีเงินสดพอใช้ได้กี่เดือน ???

โควิด.....สะกิดอะไรเรา................คงได้คำตอบแล้ว !!!!!!


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ขายรัย...ทำไมเราอิน (มาก)

                                                   เครดิตภาพจาก "เฟสบุคไทรสุก"           สองอาทิตย์ก่อนไปเห็นน้องคนหนึ่งที่เป็...