การระบาดของโควิด-19ดูเหมือนว่าจะฉุดไม่อยู่แล้ว เพราะนับถึงวันนี้มีผู้ติดเชื้อทั่วโลกถึง 3.5 ล้านคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน สหรัฐอเมริกา
สเปน อิตาลี อังกฤษ ฝรั่งเศส เป็น 5
ประเทศแรกที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุด
โดยมีผู้เสียชีวิตถึง ประมาณ 2.5 แสนคน
และยังมีทีท่าว่าจะคงยังระบาดต่อไปเรื่อยๆในหลายประเทศโดยเฉพาะในยุโรป สหรัฐ และรัสเซีย
ในขณะที่ประเทศไทยและเอเชียดูเหมือนว่าจะเอาอยู่ซึ่งก็เป็นภาพเบื้องหน้า
ณ ปัจจุบันเท่านั้น เพราะว่ามีมาตราการที่ยอมเจ็บที่ฝรั่งเรียกว่า HAMMER คือเอาฆ้อนทุบ
โดยการปิดเมือง ปิดปรเทศ
หยุดการเคลื่อนที่ของประชากร
ที่นับว่าเป็นเหตุปัจจัยสำคัญที่ทำให้โรคนี้หยุดระบาดได้จนกว่าจะมียารักษา
หรือ วัคซีนป้องกัน ที่น่าสนใจคือ “เวียดนาม”
ที่มีผู้ติดเชื้อเพียง 271 คน
และไม่มีผู้เสียชีวิตเลยเหตุผลสำคัญที่ทำให้เวียดนามคุมโควิดได้ คือ
1.การห้ามเที่ยวบินจากจีนเข้าประเทศ ตั้งแต่ต้นเดือน กพ.2563
เพราะในช่วง 11-13 กุมภาพันธ์ 2563 ผมได้เดินทางไปเวียดนาม ปรากฏว่าทุกแห่งตระหนักรู้และป้องกันกันอย่างเข้มแข็ง ทางเข้าโรงแรมมีการตรวจวัดอุณหภูมิ และตอนเช็คอินมีการสอบถามว่าในรอบสองสัปดาห์เดินทางไปจีนมาหรือไม่ และประชากรสวมหน้ากากเพราะคนเวียดนามส่วนใหญ่ขี่รถมอเตอร์ไซค์และใส่หน้ากาผ้าจนคุ้นเคยอยู่แล้ว ซึ่งในขณะนั้นที่อู่ฮั่นนั้นระบาดไปไกลแล้วนับว่าเป็นความกล้าหาญที่ยอมเสียรายได้ไปมหาศาล
2.การปิดเมือง หรือ ชุมชนอย่างรวดเร็ว พร้อมด้วยการรณรงค์ว่า
โควิดคือศัตรู....ซึ่งเวียดนามเองคนสูงวัยจะผ่านช่วงสงครามเวียดนามและเข้าใจคำว่าศัตรูเป็นอย่างดี หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือการมีนิสัยชาตินิยมนั่นเอง
ซึ่งคนกีฬาทราบดีว่าเวลาเชียร์กีฬาโดยเฉพาะฟุตบอลกองเชียร์ชาวเวียดนามได้แสดงให้ประจักษ์ถึง
“ชาตินิยม” ที่นำมาใช้ในทางที่ถูกที่ควร
3.การกล้าตัดสินใจของผู้บริหารอย่างมีข้อมูลสนับสนุนและมาทันหรือก่อนเวลา ไม่ได้กล้าตัดสินใจอย่างบ้าบิ่น
หรือฟังแต่คณะรัฐมนตรีที่มีความรู้ทางสาธารณสุข และ ระบาดวิทยาเพียงน้อยนิด รวมทั้งรัฐบาลเวียดนามที่กล้าปิดเมือง ปฏิเสธนักท่องเที่ยวจีนก่อนไทยถึงเกือบสองเดือน
ทั้งๆที่นักท่องเที่ยวจีนเป็นลูกค้าหลักของเวีดยนามเหมือนประเทศไทย
แต่ในช่วงนั้นรัฐบาลไม่กล้าตัดสินใจจนปล่อยให้โควิดระบาดไปมากขึ้น แม้จะมีเสียงเรียกร้องจากหมอ นักระบาดวิทยา
คณบดีแพทย์ ผู้เชียวชาญสาธารณสุขเสนอให้ปิดสนามบิน ฯลฯ ซึ่งผู้ติดเชื้อ 20 คนแรกเป็นคนจึนถึง 18 คน
มีคนไทยเพียงสองคนซึ่งก็เป็นผู้เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ และการระบาดในประเทศไทยมาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติหรือคนไทยที่กลับจากต่างประเทศเป็นสำคัญ จน 19 มีนาคม 2563 ได้เชิญคณบดีคณะแพทยศาสตร์จากหลายมหาวิทยาลัย
เพื่อร่วมนำเสนอผลการศึกษา และข้อเสนอเชิงนโยบายสำหรับการรับมือเชื้อ COVID 19 ณ ทำเนียบรัฐบาล
จากเดิมที่ปล่อยให้รัฐมนตรีบริหารอย่างขาดความรู้ทางสาธารณสุข และไม่ฟังผู้รู้ทั้งหลายนั่นเองเลยทำให้จาก
ต้นมกราคมถึง 18 มีนาคม เราเสียโอกาสไปถึงเกือบสองเดือนจนโรคระบาดไปไกลกว่าที่คาดคิดไว้มาก
ดีว่าหลังจากที่ได้ฟังความคิดเห็นพร้อมข้อเสนอแนะแล้วรัฐบาลทำตาม โดย HAMMER มีมาตราการ “เจ็บ” แต่จะทำให้ “จบ” ได้ ซึ่งตอนนี้ก็อยู่ระหว่าง
ผ่อนคลายที่ฝรั่งมังค่าเรียกว่า DANCE ก็ไม่รู้ว่าจะต้องสลับกันกันไปมาระหว่าง HAMMER กับ DANCE หรือ จะลากยาวไปจนสามารถ PARTY คือกลับสู่ภาวะปกติในที่สุด
แต่งานนี้ต้องบอกว่า “ยาว” กว่าที่ทุกคนคิดแน่ๆเพราะมันไม่ใช่แค่ “ไข้หวัดธรรมดา
ไม่ร้ายแรง “ แบบที่ รมต.สาธารณสุขไทยกล่าไว้เมื่อ 30 มกราคม 2563 ว่า “การระบาดของโรคนี้
ในสภาพอากาศร้อนทำให้โรคไปต่อยาก หากไวรัสมีอาการรุนแรงมากคนติดเชื้อไปไหนไม่ได้
ต้องควบคุมพื้นที่ การระบาดก็จะน้อยลง สุดท้ายเมื่อภูมิต้านทานเกิดขึ้นมา
ก็กลายเป็นหวัดธรรมดาในที่สุด” นายอนุทิน กล่าว (เครดิต :
เว็บไซท์ สำนักข่าวไทย 30 มกราคม 2563)
แล้วโควิด....สะกิดอะไรเราบ้าง ??
*** เศรษฐกิจพอเพียง*** ... ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9
ได้พร่ำสอนซึ่งก็มีแต่คนกล่าวชื่นชมในพระปรีชาสามารถ
รับไว้เหนือเกล้าแต่จะมีกี่คนกันที่ได้นำไปประพฤติปฎิบัติ
แม้แต่รัฐบาลเองหากมองการใช้จ่ายในภาครัฐของกระทรวงทบวงกรมต่างๆก็จะพบว่า
เรามีค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นอยู่ในงบรายจ่ายของรัฐบาลที่มากถึง 3.2 ล้านล้านบาท
คนที่ไม่ได้รับผลกระทบเลยในประเทศไทยมีอยู่ส่วนหนึ่ง คือคนที่อยู่ในชนบทที่นำปรัชญาพอเพียงมาใช้เป็นแนวทางปฏิบัตินั่นเอง
ซึ่งเราคงหาดูได้จากคลิปและรายการหลายรายการที่ได้นำมาถ่ายทอด
ในทางกลับกันคนที่อยู่ในเมืองกรุงเสียอีกทุกคนได้รับผลกรกะทบมากน้อยต่างกันตามวัตรปฏิบัติ หลายคนก่อสร้างหนี้สินไว้โดยลืมเผื่อว่าถ้ารายได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมายจะแก้ไขอย่างไร เช่น เราจะเห็นว่านักบินต้องขี่บิ๊กไบค์ส่งอาหารเพราะรายได้ประจำขาดหายไป
แต่มีภาระที่ต้องส่งทั้งค่าบ้านค่ารถและอื่นๆ แต่ก็ยังนับได้ว่า “น่าชื่นชม” ที่ไม่ยอมแพ้และสู้หาทางแก้ไขโดยไม่อายว่าข้าฯเป็นนักบินมีรายได้หลายแสนต่อเดือน
ต้องมารับจ้างส่งอาหารซึ่งทำให้วิถีชิวิตต้องเปลี่ยนไปอย่างมาก เราเห็นนักดนตรีตัวพ่อออกมาขายหมูปิ้ง ฯลฯ
นักวางแผนการเงินส่วนบุคคล หรือ CFO เคยพร่ำสอนไว้ว่า ต้องรักษากระแสเงินสดไว้ในวันที่ลำบาก 3
เดือน 6 เดือน หรือ ให้มากที่สุด คำถาม....”วันนี้คุณมีเงินสดพอใช้ได้กี่เดือน
??? “
โควิด.....สะกิดอะไรเรา................คงได้คำตอบแล้ว !!!!!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น