วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

อ่อนแอก็แพ้ไป

 

อ่อนแอก็แพ้ไป

2 กุมภาพันธ์ 2568


 

            วันนี้ไปถามใครๆก็ต้องตอบว่าเศรษฐกิจ “แย่”  ไม่ว่าในประเทศใดๆในโลกนี้ก็คงอยู่ในสภาวะคล้ายๆกัน  ก็คือเศรษฐกิจเติบโตช้า (มาก) อันเป็นผลมาจากหลายเหตุปัจจัย  ไม่ว่าจะเป็นสงครามการค้าที่  ประธานธิบดีสหรัฐโดนัลล์ ทัมป์  ได้ประกาศศึกทันทีที่เข้ารับตำแหน่ง  และยังไม่ทราบว่าจะมีผลกระทบทั้งในระยะสั้น  และระยะยาวอย่างไรบ้าง    ไม่ว่าจะเป็นผลที่สืบเนื่องมาจากโควิดที่เริ่มแพร่ระบาดในปี 2019-2022    และ เหตุผลอื่นๆตามแต่ภูมิภาคและประเทศนั้นๆเป็นสำคัญ

            โดยที่การคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจจากไอเอ็มเอฟสำหรับปี 2025 ว่าทั้งโลกจะเติบโตเฉลี่ยแค่ 3.3 เปอร์เซนต์   ส่วนในประเทศที่เศรษฐกิจก้าวหน้าเช่นสหรัฐอเมริกา  ยุโรป จะเติบโตแค่ 1.9    ตลาดเกิดใหม่  เช่นอาเซียน  จีน อินเดีย  ชิลี บราซิล เปรู อาเจนตินา ฯลฯ จะเติบโตลี่ย  4.2   ส่วนเอเชีย  4.4  อินโดนีเซีย 5.1  มาเลเซีย 4.7  ฟิลิปปิ้นส์ 6.1  เวียดนาม 6.5

            ไทยแลนด์แดนสนธยา  จะเติบโตแค่  2.9  ซึ่งยังดีกว่าปี 2567 และ 2566 ที่เติบโตแค่ 2.7 และ  1.9 ตามลำดับ

           


 

            แต่ไม่ว่าเศรษฐกิจ  สังคม การเมือง จะเป็นอย่างไร “ชีวิตก็ต้องก้าวเดินต่อไป”  ตราบเท่าที่ยังมีลมหายใจอยู่   และแน่นอนว่าในเมื่อยังมีการเจริญเติบโตอยู่บ้าง  แม้หลายธุรกิจจะขาดโอกาสในการเติบโต   เช่นในธุรกิจที่ผมดำเนินอยู่คือ  “สิ่งทอ”  ซึ่งนับวันความสามารถในการแข่งขันจะลดลงไปตามลำดับ   และไม่มีโอกาสกลับมารุ่งโรจน์เช่นในอดีตอีกอย่างแน่นอน   องค์กรก็ต้องแสวงว่าลูกค้าใหม่   สินค้าเดิมในตลาดใหม่  สินค้าใหม่ในตลาดเดิม  และ สินค้าใหม่ในตลาดใหม่  ซึ่งเป็นทฤษฎีการเจริญเติบโตขององค์กร   ที่ทุกภาคส่วนได้ใช้กันเป็นพื้นฐาน    ส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือเราจะเห็นโอกาสเหล่านั้นได้อย่างไร ???  และเราเห็นโอกาสเหล่านั้นเมื่อใด???  

            เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาผมได้มีโอกาสไปทานอาหารกับครอบครัว  ลูก หลาน ซึ่งตอนนี้นานๆถึงจะมีโอกาพร้อมหน้าพร้อมตากันซักครั้ง   ครั้งนี้ลูกๆเลือกร้าที่เซ็นทรัลเวิล์ดชื่อว่า SHABU BARU   ขนาดที่เลือกเวลา 13.30 น.ที่คาดว่าคนคงจะน้อยเพราะบ่ายมากแล้ว  ที่ไหนได้ต้องรอคิวกว่าจะได้กินก็บ่ายสองเศษ    ซึ่งต้องผลัดกันกิน ผลัดกันดูหลาน(อายุ 4 เดือน) พอคิวผมก็เลยพาไปเดินเล่นรอบชั้น 7 ของเซ็นทรัลเวิล์ด  ปรากฏว่ามีหลายร้านที่คนยังแน่น  แถมบางร้านก็ต้องต่อคิวยาวเป็นหางว่าว  เช่นร้าน  CHAGEE  ซึ่งเป็นร้านขายชาในรูปแบบใหม่ซึ่งปกติเราก็มีร้านน้ำชาให้ดื่มแบบดั้งเดิมมาตั้งแต่เก่าก่อน   แต่มาปรับลุคและเมนูให้สอดรับกับคนรุ่นใหม่   เพราะคนรุ่นใหญ่อย่างผมตามไม่ทันกับกระแสการเปลี่ยนแปลงนี้ก็เลยงงๆนิดนึง   ว่าอะไรนักหนาต้องต่อคิวยาวกว่าจะได้ดืมชาซักแก้ว      แต่พอไปอ่านสตอรี่ของเขาก็พบว่าชากีมีต้นกำเนิดจากมณฑลยูนนาน ประเทศจีน   ซึ่งจะเน้นคุณภาพของใบชาที่สด  ใหม่  และนำมารังสรรค์  เป็นชาต่างๆกัน   เช่น ชานม  ชาสด  ชาผลไม้  ซึ่งได้ผสมกับวัฒนธรรมตะวันออก  จนเป็นร้านชาที่ต้องลิ้มลอง   


 

หรืออีกร้านหนึ่งที่เป็นร้านคนไทยแท้ คือ  ชาตรามือ  ที่มีมาตั้งแต่ผมเด็กๆแต่มาพัฒนาและต่อยอดในรุ่นที่ 3  กลายเป็นร้านชาสมัยใหม่ที่ต้องลิ้มลองสามารถขยายสาขาให้เป็นร้านชาสมัยใหม่  ขายไปยังหลายประเทศในอาเซียน ที่ผมเห็นกับตาก็คือที่เวียดนาม และ อินโดนีเซีย

อีกร้านหนึ่งก็คือ  Haidilao (ไหตี่เลา)   ร้านชาบูหม้อไฟที่ต้นกำเนิดมาจากจีน  เป้นหม้อไฟหมาล่า  มีสาขาทั่วโลกกว่า 400 แห่ง   ได้ใช้เทคโนโลยี่สำหรับคนรุ่นใหม่ให้สแกนเพื่อจองคิว    ซึ่งแน่นอนการสแกนนี้จะทำให้ร้านได้แถมข้อมูลลูกค้า  ที่แอดเพื่อนในไลน์เพื่อส่งโปรโมชั่น  ขาวสาร  และสร้างสายสัมพันธ์กับลูกค้าอีกทางหนึ่งด้วย

นอกจากนี้แล้วยังมีร้านอื่นๆอีก  เช่นชีสเค็ก   KUMO KUMO Cheese  ที่เรียกได้ว่ามีเงินอย่างเดียวไม่พอ  ต้องรอให้ได้ด้วยถึงจะได้กิน เพราะต่อคิวยาวเป็นหางว่าว   ที่มีสีส้มเป็นอัตลักษณ์   แถมถุงใส่ขนมเรียกได้ว่าไฮโซเรยคล้ายกับถุงสินค้ากระเป๋าแบรนด์เนม  เออ.. แล้วใครจ่ายค่าถุงนี้เอ่ย ............ ลูกค้าอย่างเรานี่เอง  ใช่ปะ ???


 

            จะเห็นได้ว่าแม้แต่ในภาวะเศรษฐกิจที่ตกสะเก็ด  ก็ยังมีผู้อยู่รอดและผู้อยู่ปลอดภัยแถมยังรุ่งเรืองอีกด้วย   ทั้งนี้เพราะอะไร………   ก็เพราะการปรับตัวให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลง  สามารถจับจุดความต้องการของผู้บริโภคได้   ทั้งนี้ก็ด้วยการศึกษาสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ  พฤติกรรมของผู้บริโภค  และจับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ตรงกับตัวสินค้า นั่นเอง

            แล้วพวกที่ไม่สามารถปรับตัวได้ก็ต้องพ่ายแพ้ไปในที่สุด  เรียกได้ว่า  “อ่อนแอ ก็แพ้ไป”  ไม่จำเป็นว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็ก หรือขนาดใหญ่   สำหรับขนาดเล็กก็จะเห็นได้ตามตึกแถวที่ทิ้งร้างทั้งใน กทม. และต่างจังหวัด  เป็นสำคัญ  สำหรับบริษัทหรือนิติบุคคลที่ปิดกิจการในปี  2567 น่าจะเกือบสองหมื่นราย  เพราะ จาก มค.ถึง พย. ปิดกิจการไปแล้ว  17,614 ราย

 

ส่วนธุรกิจใหญ่ๆที่มีชื่อเสียงโบกมือลาประเทศไทยที่ปิดกิจการ  เช่น Texas Chicken, Hot Pot Buffet,  Daidomon และ อร่อยดี  ล่าสุด ร้าน  ชาบู ชาบู  ทีเปิดมา 16 ปีประกาศปิดกิจการอีกราย  แต่ทำไมหลายร้านข้างต้นก็เป็นเชนร้านอาหาร เครื่องดื่มในลักษณะเดียวกับร้านทั้งห้าที่ปิดกิจการไปกลับเจริญเติบโตอย่างดี       หรือ แม้แต่เวิร์คพอยท์ยังประกาศยุติการผลิตละคร และปิดแผนกธุรกิจละครไปเลย  ซึ่งมีการเลิกจ้างพนักงานทำให้ประหยัดต้นทุนไปอย่างน้อย  100 ล้านบาท/ปี



นั่นหมายความว่า ....... การปรับตัว ให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลง....จงทำตัวเหมือนแมลงสาบ  อย่าทำตัวแบบไดโนเสาร์     แล้วเราจะอยู่ไปได้อีกเป็นร้อยปี  พันปี  หรือเปล่า ???? 

 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พร่ำบ่น ...ก่นด่า...แต่ไม่หาทางออก 23 พฤษภาคม 2568

  พร่ำบ่น ...ก่นด่า...แต่ไม่หาทางออก 23 พฤษภาคม 2568                  ปัญหาภาวะเศรษฐกิจที่มีจุดเริ่มต้นมาจาก “โควิด19”   จากปลายปี 20...