วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2568

“ธรรมดาโลกไม่จำ”

 


ธรรมดาโลกไม่จำ”

9 พฤษภาคม 2568

ถ้าว่ากันตามหลักการตลาดแล้วก็คงหนีไม่พ้นแนวคิดของปรมาจารย์  ฟิลิลิป คอตเลอร์  ที่เป็นเจ้าของหลัก 4 P คือ  PRODUCT  PRICE PLACE PROMOTION    ซึ่งภายหลังก็ได้ขยายเป็น  5 P  7 P  8 P ก็แล้วแต่มุมมองของแต่ละคน  แต่สุดท้ายหลัก 4P ก็เป็นแกนกลางของการตลาด  เพราะที่เหลือก็คือเป็นส่วนประกอบร่วมที่นับวันมีความสำคัญมากขึ้น  ไม่ว่าจะเป็น PACKAGING  PEOPLE  PROCESS   PHYSICAL EVIDENCE    

ในเมื่อเรียนมาจากทฤษฎีเล่มเดียวกัน  องค์ความรู้เท่าๆกัน ดังนั้นก็จะทำคล้ายๆกัน  เช่น ลดห้าสิบเปอร์เซนต์   ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง    แต่สิ่งที่จะทำให้แบรด์ หรือ องค์กรนั้นๆประสบความสำเร็จมากกว่า    ก็คือการสร้างแคมเปญที่ โดดเด่น ทั้งในแง่ ความคิดสร้างสรรค์, ความเกี่ยวข้องกับผู้บริโภค, และ แรงกระเพื่อมทางสื่อ  ยิ่งถ้าเป็นสื่อสังคมออนไลน์แล้วมีความโดดเด่นจนสือหลักนำไปสื่อสารต่อ   ก็จะยิ่งทำให้แคมเปญนั้นๆประสบความสำเร็จมากขึ้น    ทั้งนี้ก็พอจะสรุปเป็นหลักการในการสร้างแคมเปญให้   “โลกจดจำ” ดังนี้:

1. มี "Big Idea" ที่เฉียบคมและแตกต่าง

ตัวอย่าง: “Share a Coke” ของ Coca-Cola ที่เปลี่ยนชื่อแบรนด์บนขวดเป็นชื่อจริงของผู้บริโภค

แนวทางไทย: ใช้ “อารมณ์” และ “วัฒนธรรมท้องถิ่น” ให้คนรู้สึกอิน เช่น “คิดถึงนะ” บนบรรจุภัณฑ์สินค้า แต่น่าเสียดายไม่มีชื่อผม  ไม่งั้นจะซื้อแจกหน้าปากซอยซัก 3 วัน  แต่ในอนาคตก็ไม่แน่อาจจะมีเครื่องพิมพ์กระป๋องอยู่ที่ร้านเลือกพิมพ์ได้ตามใจชอบเลย  แต่คงจะเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูงๆ  หรือ มีกำไรต่อหน่วยมากหน่อยก็ได้


2. ใช้ Story telling ที่อยากติดตาม  อยากเล่าต่อ  เรียกได้ว่าเรื่องนั้นๆมันน่าจดจำ  บอกต่อ

ตัวอย่าง: “Real Beauty Sketches” ของ Dove ที่พูดถึงมุมมองของความงามในแบบมนุษย์จริง  เรียกได้ว่าไม่ว่าสูงต่ำดำขาว  ก็นับเป็นความสวยงาม


3. เล่นกับอารมณ์ (Emotional Trigger)   เช่น ความสุข ความซึ้ง ความฮา หรือความโกรธ

แคมเปญต้อง “กระแทกใจ” หรือ “ท้าทายความเชื่อเดิม” เพื่อให้เกิดการแชร์  ติดตาม และหรือ เข้าร่วมกิจกรรมนั้นๆ

ตัวอย่าง :  “สบู่อิงอร” ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมานั้นได้ได้เหมารถบรรทุกน้ำ  พร้อมทีมงานเพื่อแจกจ่ายน้ำ เข้าร่วมกิจกรรมสงกรานต์ที่ถนนสีลม ฯลฯ ในกทม  แล้วตามต่อด้วยแจกตัวอย่าง  และสามารถนำไปต่อยอดแคมเปญทดลองอาบน้ำกลางสยามได้อีกด้วย 



 

4. ผสมผสาน Online + Offline  ซึ่งต้องทำอย่างลงตัว  จัดกิจกรรมหน้าร้าน/อีเวนต์ควบคู่กับไวรัลออนไลน์

ตัวอย่าง :  โรงภาพยนต์เอสเอฟ มีแคมเปญข้าวโพด 199 บาทเอาภาชนะอะไรมาใส่ก็ได้  แน่นอนค่าข้าวโพดอาจจะขาดทุน  แต่ค่าชมภาพยนต์ซึ่งมีคนน้อยหรือมากเมื่อถึงรอบก็ต้องฉายอยู่แล้ว  แต่ก็นับได้ว่าเรียกแขกและยอดขายได้มากมายทีเดียว



 

5. สร้าง Call-to-Action   ที่จดจำได้ง่าย แต่ทรงพลังตัวอย่างเช่น hashtag ติดปากอย่าใช้คำที่ยืดยาว , เกมที่ใครก็เล่นได้

ตัวอย่าง :  AIS  ที่แต้มสามารถแลกฟรี   หรือใช้แค่ 1-100 คะแนนแลกส่วนลดได้มูลค่าที่เสมือนว่าคุ้มสุดคุ้ม   โดยมีตัวมาสคอตอุ่นใจเป็นตัวกลางในการสื่อสารกับลูกค้าซีรีเนด


6. วัดผลและต่อยอด  ซึ่งเป็นประการสุดท้ายว่าเมื่อได้ดำเนินการแคมเปญนั้นๆแล้ว  ให้สำรวจดูว่าคนพูดถึงแคมเปญในแง่ไหนบ้าง แล้วปรับให้ "ยืดหยุ่น" ได้ตามกระแส

ตัวอย่าง : “เนสกาแฟกระป๋อง” มีแคมเปญขึ้นรถเมล์ฟรี  ที่ใช้งบไม่มากนักแต่สามารถเป็นที่จดจำได้  ด้วยการเช่ารถเมล์ วันละ 50 คัน เป็นเวลา 6 วัน  ในภายหลังได้ขยายไปยังเมืองอื่นๆ เช่นภูเก็ตเป็นต้น


 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

พร่ำบ่น ...ก่นด่า...แต่ไม่หาทางออก 23 พฤษภาคม 2568

  พร่ำบ่น ...ก่นด่า...แต่ไม่หาทางออก 23 พฤษภาคม 2568                  ปัญหาภาวะเศรษฐกิจที่มีจุดเริ่มต้นมาจาก “โควิด19”   จากปลายปี 20...