“ธรรมดาโลกไม่จำ”
9 พฤษภาคม 2568
ถ้าว่ากันตามหลักการตลาดแล้วก็คงหนีไม่พ้นแนวคิดของปรมาจารย์ ฟิลิลิป คอตเลอร์ ที่เป็นเจ้าของหลัก 4 P คือ PRODUCT PRICE PLACE PROMOTION ซึ่งภายหลังก็ได้ขยายเป็น 5 P 7 P 8 P ก็แล้วแต่มุมมองของแต่ละคน แต่สุดท้ายหลัก 4P
ก็เป็นแกนกลางของการตลาด
เพราะที่เหลือก็คือเป็นส่วนประกอบร่วมที่นับวันมีความสำคัญมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น PACKAGING PEOPLE
PROCESS PHYSICAL EVIDENCE
ในเมื่อเรียนมาจากทฤษฎีเล่มเดียวกัน
องค์ความรู้เท่าๆกัน ดังนั้นก็จะทำคล้ายๆกัน เช่น ลดห้าสิบเปอร์เซนต์ ซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง แต่สิ่งที่จะทำให้แบรด์ หรือ องค์กรนั้นๆประสบความสำเร็จมากกว่า ก็คือการสร้างแคมเปญที่ โดดเด่น
ทั้งในแง่ ความคิดสร้างสรรค์, ความเกี่ยวข้องกับผู้บริโภค,
และ แรงกระเพื่อมทางสื่อ
ยิ่งถ้าเป็นสื่อสังคมออนไลน์แล้วมีความโดดเด่นจนสือหลักนำไปสื่อสารต่อ ก็จะยิ่งทำให้แคมเปญนั้นๆประสบความสำเร็จมากขึ้น ทั้งนี้ก็พอจะสรุปเป็นหลักการในการสร้างแคมเปญให้ “โลกจดจำ” ดังนี้:
1. มี "Big Idea" ที่เฉียบคมและแตกต่าง
ตัวอย่าง: “Share a Coke” ของ Coca-Cola ที่เปลี่ยนชื่อแบรนด์บนขวดเป็นชื่อจริงของผู้บริโภค
แนวทางไทย: ใช้ “อารมณ์” และ
“วัฒนธรรมท้องถิ่น” ให้คนรู้สึกอิน เช่น “คิดถึงนะ” บนบรรจุภัณฑ์สินค้า แต่น่าเสียดายไม่มีชื่อผม ไม่งั้นจะซื้อแจกหน้าปากซอยซัก 3 วัน แต่ในอนาคตก็ไม่แน่อาจจะมีเครื่องพิมพ์กระป๋องอยู่ที่ร้านเลือกพิมพ์ได้ตามใจชอบเลย แต่คงจะเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูงๆ หรือ มีกำไรต่อหน่วยมากหน่อยก็ได้
2. ใช้ Story telling ที่อยากติดตาม อยากเล่าต่อ
เรียกได้ว่าเรื่องนั้นๆมันน่าจดจำ
บอกต่อ
ตัวอย่าง: “Real Beauty Sketches” ของ Dove ที่พูดถึงมุมมองของความงามในแบบมนุษย์จริง เรียกได้ว่าไม่ว่าสูงต่ำดำขาว ก็นับเป็นความสวยงาม
3. เล่นกับอารมณ์ (Emotional Trigger) เช่น ความสุข ความซึ้ง ความฮา หรือความโกรธ
แคมเปญต้อง “กระแทกใจ” หรือ
“ท้าทายความเชื่อเดิม” เพื่อให้เกิดการแชร์
ติดตาม และหรือ เข้าร่วมกิจกรรมนั้นๆ
ตัวอย่าง : “สบู่อิงอร”
ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมานั้นได้ได้เหมารถบรรทุกน้ำ
พร้อมทีมงานเพื่อแจกจ่ายน้ำ เข้าร่วมกิจกรรมสงกรานต์ที่ถนนสีลม ฯลฯ
ในกทม แล้วตามต่อด้วยแจกตัวอย่าง และสามารถนำไปต่อยอดแคมเปญทดลองอาบน้ำกลางสยามได้อีกด้วย
4. ผสมผสาน Online + Offline ซึ่งต้องทำอย่างลงตัว จัดกิจกรรมหน้าร้าน/อีเวนต์ควบคู่กับไวรัลออนไลน์
ตัวอย่าง : โรงภาพยนต์เอสเอฟ
มีแคมเปญข้าวโพด 199 บาทเอาภาชนะอะไรมาใส่ก็ได้
แน่นอนค่าข้าวโพดอาจจะขาดทุน
แต่ค่าชมภาพยนต์ซึ่งมีคนน้อยหรือมากเมื่อถึงรอบก็ต้องฉายอยู่แล้ว แต่ก็นับได้ว่าเรียกแขกและยอดขายได้มากมายทีเดียว
5. สร้าง Call-to-Action ที่จดจำได้ง่าย แต่ทรงพลังตัวอย่างเช่น hashtag
ติดปากอย่าใช้คำที่ยืดยาว , เกมที่ใครก็เล่นได้
ตัวอย่าง : AIS ที่แต้มสามารถแลกฟรี หรือใช้แค่ 1-100
คะแนนแลกส่วนลดได้มูลค่าที่เสมือนว่าคุ้มสุดคุ้ม
โดยมีตัวมาสคอตอุ่นใจเป็นตัวกลางในการสื่อสารกับลูกค้าซีรีเนด
6. วัดผลและต่อยอด
ซึ่งเป็นประการสุดท้ายว่าเมื่อได้ดำเนินการแคมเปญนั้นๆแล้ว ให้สำรวจดูว่าคนพูดถึงแคมเปญในแง่ไหนบ้าง
แล้วปรับให้ "ยืดหยุ่น" ได้ตามกระแส
ตัวอย่าง
: “เนสกาแฟกระป๋อง” มีแคมเปญขึ้นรถเมล์ฟรี ที่ใช้งบไม่มากนักแต่สามารถเป็นที่จดจำได้ ด้วยการเช่ารถเมล์ วันละ 50 คัน เป็นเวลา 6 วัน ในภายหลังได้ขยายไปยังเมืองอื่นๆ เช่นภูเก็ตเป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น